วันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2554

ตะลึงนวัตกรรมนาโนเทคสกัดยีสต์จากน้ำเบียร์สิงห์ ผลิตสารหน้าเด้ง-อาหารเสริมเพื่อคนและสัตว์


       -แถมมีฤทธ์ต้านมะเร็ง และระงับเชื้อรา ชี้ประเทศไทยเป็น 1ใน 3 ของโลกที่ผลิตได้ ขณะที่บริษัทเครื่องสำอางค์ทั่วโลก

       -มีออร์เดอร์นำเข้าเพียบ ส่วนประเทศฝรั่งเศลเจรจาร่วมทุนกับเจ้าของคนไทยแล้ว!
    เทรนด์โลกในอุตสาหกรรมยุคใหม่ ให้ความสำคัญกับสร้างธุรกิจด้วยเทคโนโลยีชีวภาพด้านผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสกัด จุลินทรีย์ “ ยีสต์”


 ที่นำมาจากน้ำเบียร์สิงห์ของไทย กำลังจะเข้ามาเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของอุตสาหกรรมหลายหมื่นล้าน...โดยมี บริษัทสเปเชียลตี้ ไบโอเทค จำกัด และบริษัทสเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดัคส์ จำกัด เป็นผู้ริเริ่มในการนำสารสกัดจากยีสต์มาปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยนำเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์มาสกัดกากน้ำตาลจากโรงงานเหล้า เบียร์นำมาผสานกับการตลาดเป็น “ บลูโอเชี่ยน ” สร้างมูลค่าให้ธุรกิจผลิตอาหารคน อาหารสัตว์ ยาต้านมะเร็ง และเครื่องสำอางได้อย่างมหาศาล

       อีกทั้งยังเป็นผู้บุกเบิกนวัตกรรมจากสารสกัดยีสต์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นคลื่นลูกใหม่ของโลกให้เข้ามาเป็นหัวหอก สำหรับเคลื่อนทัพ 2 ขาธุรกิจ คือ 1.กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่สกัดสารจากยีสต์ ผลิตอาหารสัตว์ ยารักษาโรค 2.กลุ่มธุรกิจเครื่องสำอางที่มีสารสกัดจากธรรมชาติ อย่างสมุนไพร และต่อยอดมาถึง “ เบต้า-กลูแคน ” สารสกัดจากยีสต์ อย่างไรก็ตามการที่เป็นผู้ผลิตรายแรกในประเทศ ซึ่งต้องแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่นำเข้ายาและเวชภัณฑ์ชื่อดัง อาทิ ดีทแฮม ถือเป็นเรื่องยากที่ต้องอาศัยระยะเวลาเพื่อพิสูจน์คุณภาพไม่ด้อยกว่านำเข้า

      
       ดร.พรรณวิภา กฤษฏาพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทสเปเชียลตี้ ไบโอเทค จำกัด และบริษัทสเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดัคส์ จำกัด กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” ว่า วิธีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตลาดนำเข้าสารสกัดจากยีสต์ ซึ่งมีสัดส่วน 90% ซึ่งบริษัทสามารถแบ่งเค้กมาได้ปีละประมาณ 5 % มีมูลค่าประมาณ 3 พันล้านบาท

       ที่ผ่านมาบริษัทเน้นแนวทางสร้างความเชื่อถือให้กับบริษัทผู้ผลิต สินค้าเห็นถึงจุดเด่นที่แตกต่างทางด้านต้นทุนการผลิต และการสร้างแต้มต่อเพิ่มมูลค่าให้สินค้าเหนือกว่าคู่แข่ง ขณะเดียวกันในกลุ่มผู้บริโภค สร้างการรับรู้ถึงคุณค่าประโยชน์ของสินค้าที่มีการเพิ่มมูลค่าด้วยสารสกัด ยีสต์ในรูปแบบต่างๆ โดยเป้าหมายจากนี้ไปบริษัทวางแผนจะเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดนำเข้าให้ได้ 30% - 40%

       ส่วนการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ ในฐานะที่เป็นผู้บุกเบิก “ เทคโนโลยีไบโอเทคนาโนยีสต์ ” ในประเทศไทย และผู้นำของภูมิภาคนี้เป็นจุดที่สร้างความได้เปรียบ รวมทั้งปัจจัยที่สารสกัดจากผนังเซลส์ยีสต์เป็นนวัตกรรมที่รู้จักกันดีต่าง ประเทศ ทำให้ธุรกิจของบริษัทมีสัดส่วนการส่งออกมากว่าในประเทศ รวมถึงในปัจจุบันการผลิตส่งออกสารสกัดผนังสารเซลส์ยีสต์เป็นภาษีฟรีโซน รัฐบาลสนับสนุนอำนวยความสะดวกส่งออกไป4 ประเทศ มาเลเซีย ฟิลิปินส์ เวียดนาม และอินโดนีเซีย ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีการส่งออกอูมามินไปผลิตสารปรุงแต่งรสชาติอาหาร

       ต่างชาติรุมจีบเทคโนโลยีเยี่ยม

       โอกาสในการเจาะตลาดใหม่ นอกจากการทำตลาดขายสารสกัดยีสต์ให้กับบริษัทผู้ผลิตนำมาใช้สำหรับสินค้าแล้ว ล่าสุดค่ายเบียร์ยักษ์ใหญ่ฟิลิปินส์ ได้ติดต่อมาที่บริษัทเนื่องจากสนใจเทคโนโลยีในการสกัดยีสต์ของเพื่อนำมา ต่อยอดไปในธุรกิจใหม่ ทั้งนี้เพราะ “ยีสต์สายพันธุ์ที่มีอยู่ในเมืองไทย” มีความแตกต่างๆจากยีสต์ของบริษัทอื่นในโลกที่ลงมาจับในธุรกิจนี้ ดังนั้นแนวโน้มในอนาคตน้ำเบียร์จากทุกๆค่ายที่มีโรงงานผลิตอยู่ในประเทศไทย อาทิ เบียร์สิงห์ เบียร์ช้าง ซึ่งมียอดขายสูงสุดในตลาดเบียร์มูลค่ากว่าแสนล้านบาท จะมี ยีสต์ สายพันธ์ที่ดีเป็นวัตถุดิบ สำหรับการต่อยอดไปสู่ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ซึ่ง ดร.พรรณวิภา กล่าวในจุดนี้ว่า ทำให้บริษัทเปิดกว้างในการรับวัตถุดิบยีสต์ที่มาจากกากน้ำเบียร์จากทุกๆ บริษัท

       ขณะนี้มีบริษัท SPF ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นบริษัทที่ผลิตอาหารสุนัขส่งออกไปต่างประเทศได้มาดู งานที่บริษัท และมีความสนใจเทคโนโลยี Spay dry จึงมีการทำ Business partner หรือเป็นพันธมิตรกันในการผลิตสินค้า โดยบริษัทสนใจสินค้ายีสต์ของบริษัทอย่างมาก จึงจะมีการกำหนดสเปกยีสต์ด้วยกัน เพื่อทำให้ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะยีสต์ที่ปกติบริษัท SPF จะมีการสั่งจากประเทศบราซิล แต่ต่อไปนี้บริษัท SPF จะใช้ยีสต์ที่ผลิตในไทย และจะส่งไปให้สาขา SPF ที่มีอยู่หลายประเทศ รวมทั้งทำความร่วมมือขอใช้เครื่องจักรในการผลิตภัณฑ์อื่นๆ ด้วย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีของไทยอย่างมาก

       ไทยผงาดแหล่งวัตถุดิบคอสเมติกระดับโลก

       งานวิชาการเครื่องสำอางโลก ปี 2554 ที่มีสมาชิก 47 ประเทศทั่วโลก ซึ่งจัดโดยสมาคม IFSCC กำลังจะมาจัดที่ในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และเช่นเดียวกันที่ดร.พรรณวิภา กฤษฏาพงษ์ ที่คนไทยกำลังเป็นว่าที่นายกสมาคมครั้งแรก ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางจากประเทศไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลก และส่วนหนึ่งมาจากผลงานที่ปรากฏ ที่คนไทยต่อยอดงานวิจัยนำกากเบียร์เหลือทิ้งมาสกัดเป็นยีสต์ทำหน้าเด้ง เพิ่มมูลค่านับแสนบาท ต่อกิโล พร้อมก้าวสู่ประเทศผู้ผลิตวัตถุดิบเครื่องสำอางรายใหญ่ของโลก ด้านผู้ประกอบการแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำทั้งในและต่างประเทศต่างสั่งวัตถุ ดิบจากไทย ซึ่งการผลิตและคิดค้นยีสต์ที่ทำหน้าเด้งสูตรสกัดจากกากเบียร์เป็นนวัตกรรม ของคนไทย

       รวมถึงในปัจจุบันประเทศไทยเป็นแหล่งรับจ้างผลิตยีสต์และสมุนไพร หรือOEM (Origianl Equipment Manufacturer) ให้กับแบรนด์ต่าง ๆ ตามแบบที่ลูกค้ากำหนดแหล่งใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีสัดส่วนทางการตลาดกว่าครึ่งของแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำทั้งในและต่าง ประเทศ บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล จำกัด ผู้รับจ้างผลิตผลิตภัณฑ์บางตัวของ บริษัทยักษ์ใหญ่ อาทิ คอนซูเมอร์โพรดัคส์สบู่ ยาสระผม และสารปรุงแต่งอาหารจากประเทศญี่ปุ่น อันเนื่องจากศักยภาพในกระบวนการผลิตยีสต์หน้าเด้งจากกากเบียร์ที่เป็น 1 ใน3 ประเทศทั่วโลกเท่านั้น ทั้งยังคิดค้นและร่วมพัฒนาสูตรร่วมกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งมีงานวิจัยรับรองส่วนผสมทุกตัวอีกด้วย

       กากเบียร์เจ๋ง! ทำหน้าเด้งได้

       น.สพ.กิตติ ทรัพย์ชูกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัทสเปเชี่ยลตี้ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่ากากเบียร์ที่ได้จากน้ำเบียร์เป็นส่วนที่ไม่มีมูลค่าทางการค้ามากนัก ซึ่งโรงงานเบียร์หลายแห่งอาจต้องสิ้นเปลืองทรัพยากร เวลา พลังงานและจำนวนเงินมากมายมหาศาลในการกำจัดของเสียเหล่านี้แต่หลังจากคนไทย ได้ทำการวิจัยและคิดค้นวิทยาการ รวมถึงสูตรในการสกัดกากเบียร์ให้แยกส่วนเปลือกของผนังเซลล์ที่มีเบต้ากลูแคน (Beta Glucan) เป็นส่วนประกอบออกจากเนื้อใน แล้วผ่านกระบวนการในระดับไบโอนาโนเทคโนโลยีจนสามารถสกัดออกมาเป็นยีสต์ที่ ละลายน้ำได้ เพื่อนำมาใช้เป็นส่วนผสมของเครื่องสำอางหรือครีมทาผิว

       กากเบียร์ที่นำมาสกัดเป็นยีสต์จนละลายน้ำได้นั้นได้รับความนิยมและ เป็นที่ต้องการในระดับสากลมากกว่ายีสต์ในสายพันธ์อื่นๆ เนื่องจาก 1.มีความปลอดภัย 2.มีเบต้ากลูแคนในระดับที่แอ็กทีปสูง 3.มีเบต้ากลูแคนสูง 4.มีโครงสร้างเหมาะสม ซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยสูง

       “ยีสต์ที่ได้จากการสกัดจากกากเบียร์จะมีประสิทธิภาพสูง โดยยีสต์ตัวนี้จะมีสารเบต้ากลูแคนที่มีความเข้มข้นสูง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นมีผลทำให้หน้าเด้งดูอ่อนเยาว์มากขึ้น”

       อย่างไรก็ตามปริมาณกากเบียร์ทั้งหมดจะสามารถสกัดออกมาเป็นยีสต์ที่ ละลายน้ำได้อยู่ประมาณ 2 % เท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันมีบริษัทที่มีศักยภาพและเทคโนโลยีในการผลิตเพียง 3 ประเทศ คือ ฝรั่งเศส, สวิตเซอร์แลนด์ และไทย ทั้งนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการด้านเครื่องสำอางแบรนด์ชั้นนำทั้งในประเทศและ ต่างประเทศให้ความสนใจและจ้างโรงงานของคนไทยผลิตสารสกัดชนิดดังกล่าว จากนั้นจึงนำไปผสมกับสูตรผลิตภัณฑ์เสริมความงามชนิดต่างๆ

       นอกจากยีสต์ที่สกัดจากกากเบียร์จะมีความมหัศจรรย์จนกลายเป็นดาวเด่น และสร้างมูลค่าเพิ่มทางการค้าให้กับแวดวงธุรกิจผลิตภัณฑ์เสริมความงามของไทย แล้ว ยังมีธุรกิจสมุนไพรไทยอีกจำนวนมากที่หันมาใช้เทคโนโลยีและงานวิจัยเข้ามามี บทบาทสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเสริมสร้างและดึงประสิทธิภาพสมุนไพรให้ได้ผลอย่างเต็มที ทั้งยังเป็นมาตรฐานที่ได้การยอมรับในระดับสากลอีกด้วย
       ธีรญา กฤษฎษพงษ์ Marketing Coordinator บริษัท สเปเชี่ยลตี้ เนเชอรัล จำกัด เปิดเผยว่าสมุนไพรไทยที่สกัดจากธรรมชาติเป็นวัตถุดิบที่ได้รับความนิยมในการ นำมาเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมสุขภาพและผลิตภัณฑ์ด้านการเสริมความงามมากเป็น อันดับต้นๆ ซึ่งในอดีตชาวบ้านจะนำสมุนไพรมาบด จากนั้นจึงนำไปตากแห้ง แล้วจัดใส่ในแคปซูลเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน

       ส่วนด้านผลิตภัณฑ์การเสริมความงามชาวบ้านจะนำสมุนไพรชนิดต่างๆ มาหั่น บด แล้วนำมาใช้ทาโดยตรงยังบริเวณผิวหนังที่ต้องการแก้ไขจุดบกพร่อง โดยไม่ผ่านกระบวนการวิจัย ไม่มีการพัฒนาต่อยอด รวมถึงไม่มีการควบคุมมาตรฐานของสารที่ออกฤทธิ์ทำให้ในแต่ละผลิตภัณฑ์มี ปริมาณสารออกฤทธิ์ไม่เท่ากัน เช่น การนำแตงกวามาวางบริเวณดวงตา เพื่อลดอาการบวม ดำ คล้ำของขอบตา แต่หากล้างไม่ดีจะมียางตกค้าง และส่งผลให้ขอบตาคล้ำมากขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น
       ซึ่งในปัจจุบันการนำสมุนไพรมาใช้ในการผลิตอาหารเสริมสุขภาพและ ผลิตภัณฑ์เสริมความงามในระดับสากลจะต้องมีการรับรองมาตรฐานจาก GMP (Good manufacturing Practice), ISO 9001 คือการวิจัยแล้วพัฒนาที่มีมาตรฐานคงที่ในทุกตัวผลิตภัณฑ์, HACCP รับรองด้านข้อปฏิบัติการว่ามีความปลอดภัยในกระบวนการผลิตอาหารและเครื่อง สำอาง, ISO 9001:2000, ISO 17025, HACCP, HALALเป็นต้น ถึงจะสามารถส่งออกและแข่งขันกับคู่ค้าจากนานาประเทศได้

       กรณีตัวอย่างบริษัท SNP ได้มีการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์เข้ามามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาการ สกัดสมุนไพร โดยใช้กระบวนการผลิตแบบ Specialty Standardized Extraction คือก่อนการนำสมุนไพรมาผลิตจะมีการวิจัยถึงคุณสมบัติของสมุนไพรชนิดต่างๆ เสียก่อน เช่น สมุนไพรชนิดนั้นเป็นสารกลุ่มใด มีคุณสมบัติอย่างไร ควรผลิตในอุณหภูมิเท่าไร และควรผลิตในปริมาณขนาดไหนจึงจะเหมาะต่อกระบวนการออกฤทธิ์ที่ดี ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพจากสมุนไพรสูงที่สุด และทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดจะได้มาตรฐาน ออกฤทธิ์คงที่ มีสรรพคุณที่แน่นอนชัดเจน มีความปลอดภัยสูง สามารถเก็บไว้ได้เป็นระยะเวลานานอีกด้วย

       “แม้ประเทศญี่ปุ่นจะมีเทคโนโลยีในการผลิตที่ทันสมัย แต่ประเทศญี่ปุ่นก็ยังคงนิยมซื้อสารสกัดสมุนไพรจากประเทศไทย เนื่องจากต้นทุนการผลิตของประเทศไทยต่ำกว่า, มีสมุนไพรอุดมสมบูรณ์ และมีศักยภาพในการผลิตอยู่ในระดับสากล นั่นเพราะโรงงานจะคัดเลือกสมุนไพรทุกชนิด เพื่อให้มีคุณภาพแน่นอน โดยต้องแน่ใจว่าจะไม่มีสารปนเปื้อนจากโลหะหนักและเชื้อโรคต่างๆ ทุกครั้งก่อนเข้าสู่กระบวนการผลิต ทั้งการสกัดของเราจะทำให้เกิดการออกฤทธิ์สูง โดยไม่ต้องใช้สารสกัดสมุนไพรในปริมาณที่มากเกินจำเป็น”

       เทรนด์สมุนไพรที่นิยมนำมาสกัดใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริม ความงาม ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ รวมถึงประเทศญี่ปุ่นคือ สารสกัดกวาวเครือขาว Pueraria Mirifica , สารสกัดเกล็ดปลาทะเลน้ำลึก , เห็ดหลินจือ , สารสกัดมะรุม, สารสกัดโยเกิร์ต Yoghurtex และในรูปแบบแชมพู , สารสกัดสมอไทย , สารสกัดปอสา ,สารสกัดรังไหม Sericin , สารสกัดผักเบี้ยใหญ่, สารสกัดคอลลาเจน, สารสกัดใบหมี่, สารสกัดใบหม่อน, สารสกัดผักบุ้งทะเล”

       ยีสต์เพิ่มมูลค่าไข่ไก่-ต้านมะเร็ง

       ยีสต์ กับการพลิกโฉมใหม่ให้กับการสร้างมูลค่าสินค้าผลิตภัณฑ์ไข่ไก่ ซึ่งมีวางขายในร้านสะดวกซื้อ หรือในห้างสรรพสินค้า ที่มีจะเห็นว่าทุกวันนี้พัฒนาการของสินค้าต่างๆ ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปมาก โดย “ไข่ไก่” เป็นตัวอย่างที่ดี ที่บ่งบอกว่า นวัตกรรมได้เข้ามาในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และมีพัฒนาการที่ก้าวหน้าไปไกล และมีความซับซ้อนมากขึ้น

       “ไข่ไก่” ทุกวันนี้จึงไม่ใช่ไข่ไก่ที่ให้ไก่ไข่ออกมาตามมีตามเกิดเหมือนในอดีตแล้ว เพราะไข่ไก่ทุกวันนี้ มีคุณสมบัติพิเศษที่ผู้บริโภคสามารถรับสารอาหารประเภทต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่น่าสนใจที่สุดคือ ผลผลิตดังกล่าวเกิดขึ้นจากการพัฒนานาโนเทคโนโลยีรวมกับไบโอเทคโนโลยีที่ เริ่มต้นจาก “ยีสต์”ที่น่าจับตา...

       “ตอนแรกจะนำเทคโนโลยีนาโนมาใช้กับยีสต์เพื่อผลิตเครื่องสำอางค์ แต่พอทำไปพบว่าสามารถนำมาต่อยอดทำอาหารสัตว์ได้ด้วย ตรงนี้ข้อดีคือ นอกจากจะใช้เทคโนโลยีนาโน ยังเป็นเทคโนโลยีชีวภาพซึ่งเป็นเทคโนโลยีสะอาด”

       น.สพ.กิตติ กล่าวและฉายภาพให้เห็นว่า ผลิตภัณฑ์ไข่ไก่คุณสมบัติที่เห็นวางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้า ณ เวลานี้ เป็นสินค้าที่เกิดจากการพัฒนามาจาก “ยีสต์” มาผลิตเป็นอาหารสัตว์ ซึ่งแต่เดิมนั้นผลผลิตอาหารสัตว์มักจะผลิตมาจากธัญพืชธรรมชาติ ได้แก่ กากถั่วเหลือง และข้าวโพดเป็นหลัก แต่ทุกวันนี้เทคโนโลยีใหม่อย่างนาโนเทคโนโลยีได้ทำให้สามารถทำยีสต์ให้แตก ตัวและนำมาใช้ให้เป็นอาหารสัตว์ได้ และมีคุณภาพที่ดีด้วย

       โดยกระบวนการผลิตนั้น บริษัทจะนำยีสต์ที่ได้มาจากกากเบียร์ แล้วนำน้ำเบียร์มาผ่านกระบวนการผลิต เริ่มต้นจากแนวความคิดที่จะผลิตเครื่องสำอางค์ แต่พอมาศึกษาให้ละเอียดพบว่า สามารถนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ และทำผงกระตุ้นการรับรสของคนได้ด้วย จึงหันมาศึกษา และทำการตลาดด้านอาหารสัตว์อย่างจริงจัง

       “โนฮาวคือ ถ้าเอายีสต์มาตีให้แตก จะมีโครงสร้างข้างในอยู่ และเป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยโปรตีนสูงมากโดยเปลือกของยีสต์จะนำมาทำ ผลิตภัณฑ์ ขณะที่เนื้อในนั้นจะทำอาหารโปรตีนได้ทั้งคน และสัตว์ ”

       นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาต่อไปอีกขั้น Nanosil คือการนำยีสต์มาหมักอีกครั้ง และเติมสารที่เรียกว่า Selenium เพื่อผลิตเป็นอาหารสัตว์ที่จะทำให้เกิดกระบวนการสะสมในเนื้อ และในไข่ จนกระทั่งเป็นไข่ไก่ชนิดพิเศษที่วางขายอยู่ในท้องตลาดในเวลานี้

       “เซเลเนียมทั่วไปจะไม่สะสมในไข่ แต่ถ้าเป็นเซเลเนียมจากกลุ่มยีสต์ จะดูดซึมได้ง่าย จึงทำให้เมื่อสัตว์กินอาหารที่มีเซเลเนียมที่ผลิตจากยีสต์เป็นส่วนประกอบจะ ทำให้ไปสะสมในเนื้อสัตว์ เช่นไก่ คนกินเนื้อไก่ก็จะได้เซเลเนียมด้วย เมื่อไก่ไข่ออกมา ในไข่ก็จะมีเซเลเนียมซึ่งถ้าคนกินไข่ ก็จะได้สารเซเลเนียมไปด้วยเช่นกัน ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งคือเนื่องจากยีสต์นี้เป็นสารจากธรรมชาติ ร่างกายของคน หรือสัตว์ จะสามารถดูดซึมไปใช้ได้เร็วมาก

       ในจุดนี้เป็นโนฮาวที่พัฒนาขึ้นมา มีงานวิจัยรองรับ ที่สำคัญยังสามารถผสมวิตามินอีเข้าไปได้ด้วย ซึ่งวิตามินอีจะช่วยทำให้ขอบเซลล์แข็งแรง จะทำให้ไข่ไก่มีอายุที่ยาวนานขึ้น คือปกติไข่จะอยู่ที่ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ไข่ที่เติมเซเลเนียมและวิตามินอีจะทำให้ไข่มีอายุยาวนานขึ้น เปลือกไข่มีความแข็งแรงขึ้น คือสามารถเก็บได้ถึง 3-4 สัปดาห์”

       นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยรองรับด้วยว่า เซเลเนียมที่ผลิตจากยีสต์ยังมีคุณสมบัติการปลอดมะเร็งของคนทั้งนี้ในกระบวน การผลิต เมื่อทำการหมักยีสต์แล้ว เอามาล้าง ก็จะเติมเซเลเนียมเข้าไป จากนั้นจะนำไปหมัก ล้าง และทำให้แห้ง ซึ่งในยีสต์จะมีตัว amino acid หรือ กรดอะมิโน ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดอยู่จำนวนมาก และมีตัวธาตุที่เรียกว่า chonh ตัว h คือตำแหน่งของซัลเฟอร์ ซึ่งเซเลเนียมนั้นถือว่าเป็นตารางธาตุเดียวกันและเมื่อเติมเซเลเนียมจาก ยีสต์เข้าไปจึงสามารถไปแทนที่ตัวซัลเฟอร์ได้ ทำให้คุณสมบัติเปลี่ยน นอกจากนี้ก็สามารถเติมไอโอดีน หรือ แมกกานีสในอาหารสัตว์ได้ด้วย จะทำให้เปลือกไข่มีความแข็งแรงมากขึ้น รวมทั้งได้สารไอโอดีนมากขึ้นด้วย

       สำหรับการต่อยอดนำการผลิตเซเลเนียมนี้ไปในผลิตภัณฑ์อื่นๆได้อีก เช่นปัจจุบัน ประเทศสหรัฐอเมริกามีการสกัดตัวเซเลเนียมออกมาเพื่อทำเป็นโปรตีนผง แต่ประเทศไทยยังไม่ได้ผลิตในส่วนนี้ออกมา อีกทั้งยังสามารถเติมตัวโคลเมียมได้ด้วย ชื่อว่า GTF หรือ Glucose Tolerance Factor แล้วนำมาสกัดเป็นเม็ด ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยไม่ต้องพึ่งเคมีเพราะเป็นสารจากวัตถุดิบธรรมชาติ

       สำหรับในไทยนั้นปัจจุบันมีการเริ่มนำเซเลเนียม และโคลเมียมมาผสมกับเบต้า-กลูแคนที่ได้จากยีสต์ แล้วนำมาผสมเป็นธาตุใหม่ขึ้นมา แต่ตัวเทคโนโลยีที่สูงกว่านี้นั้น ยังไม่ได้มีการผลิตวางขาย เช่นนำสมุนไพรไทยมาตากแดดแล้วสกัดออกมาเพื่อนำมาใช้เพิ่มมูลค่าให้สินค้า

       อาหารสัตว์จุดเริ่มสารสกัดยีสต์

       นวัตกรรมไบโอเทคนาโนยีสต์ ที่นำมาให้ต่อยอดในหลากหลายอุตสาหกรรม มีคุณค่าประโยชน์ที่มีความแตกต่างกัน สำหรับในส่วนของสัตว์นั้น เรียกว่า Nanoboost ซึ่งจะมีการนำยีสต์มาย่อยและทำให้เซลล์แตกออกมาเป็นเปลือกและเนื้อใน จากนั้นจะทำกระบวนการล้าง อบแห้ง จนได้สารเบต้ากลูแคน หรือ beta glucan (1,3-1,6-Beta Glucan) ที่เหมาะสำหรับนำไปใช้ผสมเป็นอาหารสัตว์ โดยคุณสมบัติของเบต้า-กลูแคนที่ในวงการอาหารสัตว์รู้กันเป็นอย่างดีคือ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของสัตว์เลี้ยงได้ด้วย

       ที่ผ่านมาแม้ว่าจะสามารถผลิตมาได้จากหลายวัตถุดิบ เช่น ยีสต์,สาหร่าย และ เห็ด แต่มีงานวิจัยรองรับว่าสารเบต้า-กลูแคนที่ได้มาจากผนังของยีสต์นั้นจะมีความ แตกต่าง เพราะมีคุณสมบัติดีที่สุด โดยเฉพาะการดูดซึมเข้าสู่ร่างกายสัตว์ และสะสมอยู่ในเนื้อ นม ของสัตว์ ก่อนส่งต่อมาให้คนได้ด้วย อีกทั้งยังมีโปรตีนสูงอีกด้วย

       “สารตัวนี้ ในตลาดค้าอาหารสัตว์ถือว่าเป็นสารที่มีราคาแพงที่สุด แต่มีประโยชน์มากถ้ามาใช้ในอาหารสัตว์ เพราะมีคุณสมบัติที่ดีหลายประการ โดยเฉพาะการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน ป้องกันสัตว์ที่เป็นเชื้อรา ซ้ำยังช่วยในสัตว์ที่มีอาการท้องเสียได้ด้วย โดยการป้องกันท้องเสียในสัตว์ ได้พัฒนามาเป็น Nanomos โดยหลังขบวนการอบแห้งจะได้ Mannoprotein มาช่วยเรื่องการคุมอาการท้องเสีย โดยสารนี้จะช่วยในการจับพวกแบคทีเรียในร่างกายได้ ทั้งในคนและสัตว์ด้วย ซึ่งทำให้เชื้อในร่างกายไม่สามารถทำให้เกิดอาการท้องเสียได้ มีกระบวนการทำงานคล้ายกับผงถ่าน ซึ่งแพทย์แผนปัจจุบันมักให้รับประทานเมื่อเกิดอาการท้องเสีย โดยส่วนแรกเมื่อเอาตัวยีสต์ทั้งตัวมาตีแตกแล้ว เราจะได้ตัวโปรตีนมาพัฒนาเป็นสารควบคุมการท้องเสียดังกล่าว”

       อย่างไรก็ตามธุรกิจการนำเทคโนโลยีนาโนชีวภาพมาผลิตยีสต์ในเมืองไทย นั้น ถือว่าเป็นเจ้าแรกที่ทำธุรกิจนี้ ซึ่งนอกจากจะใช้โนฮาวที่สำคัญในการผลิตคือการนำยีสต์มาตีให้แตกเพื่อนำโครง สร้างข้างในมาใช้งานและต้องมีงานวิจัยในการรองรับผลผลิตนี้แล้ว ธุรกิจนี้ยังจำเป็นต้องมีมาตรฐานได้รับการยอมรับด้วย ที่สำคัญคือ มาตรฐาน GMP,ISO 2,800,และฮาลาล

       “กลุ่มอุตสาหกรรมด้านอาหารหรือ Food นั้นจำเป็นจะต้องมีฮาลาลด้วย เพราะต้องวางขายในห้างสรรพสินค้า ขณะเดียวกันความที่เป็นธุรกิจใหม่ จึงต้องการมาตรฐานมารองรับ เพราะลูกค้าจะมั่นใจได้ระดับหนึ่ง”

       สำหรับธุรกิจอาหารสัตว์นั้น น่าเสียดายที่ธุรกิจด้านการผลิตยีสต์ยังไม่ได้รับการยอมรับจากบริษัทผู้ผลิต อาหารสัตว์ในไทยมากนัก เนื่องจากยังใหม่ แต่คาดว่าถ้ามีการทดลองใช้และ ผลผลิตได้ผลดี สามารถทดแทนการนำเข้าได้ ก็จะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมยีสต์ในไทยอย่างมาก

       “แม้จะใหม่ และไทยกำลังอยู่ในขั้นเริ่มต้น แต่การนำการผลิตแบบนาโนเทคโนโลยีมาใช้กับเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นเรื่องที่ต้องทำ อย่างในขณะนี้ศักยภาพในการเลี้ยงสัตว์ของไทยกินขาดเกาหลีใต้ แต่เกาหลีใต้ได้ประกาศห้ามใช้ยา ลดการใช้สารเคมีในอาหารสัตว์ ทำให้กลุ่มยีสต์ได้กลายเป็นสินค้าที่ขายดีเพราะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค และมีโอกาสเติบโตได้มากในอุตสาหกรรมนี้ในเกาหลีใต้ เพราะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างมาก ที่น่าเสียดายคือไทยนั้นจริงๆ มีโอกาสมากกว่าเกาหลีใต้ เพราะสินค้าไทยจะได้รับการยอมรับจากนานาชาติมากกว่า

       ตลาดสุขภาพสัตว์ของประเทศไทย ขณะนี้ จะมีประมาณปีละ 3,065,244,243 บาท แบ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารสัตว์รวม 3,810 ล้านบาท โดยสารต่างๆที่จำเป็นสำหรับจะมีมูลค่ารวม 711กว่าล้านบาท ปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตอาหารสัตว์ในไทย มีการนำเข้าสารที่เกิดจากยีสต์นี้ประมาณ 90% ของตลาดทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวนที่สูงมาก หากอุตสาหกรรมผู้ผลิตอาหารสัตว์ในไทย หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้เองจากธรรมชาติ ก็จะทำให้ลดต้นทุนการผลิตได้มาก ขณะเดียวกันก็ทำให้อุตสาหกรรมการนำยีสต์มาผลิตเป็นสารต่างๆ ของไทยโดยเทคโนโลยีนาโนสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืนด้วยเช่นกัน” น.สพ.กิติกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น